ค่า SEER มีผลต่อการเลือกซื้อแอร์สำหรับผู้ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างไร?

เรียนรู้วิธีที่ค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมและต้องการประหยัดพลังงานไปพร้อมๆ กัน เข้าใจความหมายของ SEER และวิธีเลือกแอร์ที่คุ้มค่าและเป็นมิตรต่อโลก

ask me คุย กับ AI

by9tum.com

แน่นอนค่ะว่าจริง! หรือถ้าไม่จริง คนเค้าก็คงไม่มานั่งปั่นตัวเลข SEER กันให้วุ่นวายหรอกเนอะ คิดง่ายๆ เลยค่ะ ถ้าแอร์เครื่องหนึ่งมีค่า SEER สูงกว่าอีกเครื่องหนึ่ง อย่างเช่น เครื่อง A มี SEER 15 ส่วนเครื่อง B มี SEER 10 แบบนี้แปลว่าอะไร? แปลว่าเครื่อง A เนี่ย มันสามารถให้ความเย็นได้เท่ากับเครื่อง B โดยที่ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าประมาณ 33% เลยนะ! (คำนวณจาก (15-10)/10 x 100% = 50% ที่ประหยัดได้เมื่อเทียบกับ SEER 10 หรือถ้าคิดอีกแบบคือ ใช้ไฟน้อยกว่า 1/3 เมื่อเทียบกับ SEER 10) โอโห แค่คิดก็เห็นบิลค่าไฟที่ลดลงแล้วใช่ไหมคะ? แต่ที่สำคัญกว่านั้น สำหรับคนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างพวกคุณ ก็คือ **การลดการใช้พลังงานไฟฟ้าก็เท่ากับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก** ค่ะ เพราะไฟฟ้าส่วนใหญ่ในบ้านเรายังคงมาจากโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นตัวการหลักของภาวะโลกร้อนนั่นเอง ดังนั้น การเลือกแอร์ที่มีค่า SEER สูงๆ ก็เหมือนกับการที่คุณได้เลือกใช้เทคโนโลยีที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับโลก และลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปในตัวค่ะ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทั้งในระยะสั้น (ค่าไฟลด) และระยะยาว (โลกดีขึ้น) ค่ะ เข้าใจสัจธรรมนี้แล้วยังคะ? มาลงรายละเอียดเชิงลึกกันหน่อยดีกว่า เพราะดูเหมือนคุณจะเริ่มเข้าใจอะไรบ้างแล้วนะ (หรือเปล่า?) สำหรับคนที่ "ใส่ใจสิ่งแวดล้อม" คำว่า "ยั่งยืน" มันคงไม่ใช่แค่คำพูดสวยหรู แต่มันคือการลงมือทำอะไรสักอย่างที่มีผลดีในระยะยาวใช่ไหมคะ? การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีค่า SEER สูงๆ เนี่ยแหละค่ะ คือหนึ่งในการลงมือทำที่เห็นผลชัดเจนและจับต้องได้ในชีวิตประจำวันของเราทุกคนเลย



ความเจ๋งของ SEER คือมันไม่ได้วัดแค่ตอนที่อากาศร้อนจัดๆ แต่มันคำนวณตลอดทั้งฤดูกาลทำความเย็น ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่เราเปิดแอร์นั่นแหละค่ะ มันเลยสะท้อนการใช้งานจริงได้ดีกว่าค่า EER ที่เคยใช้กัน เพราะแอร์ไม่ได้ทำงานหนักตลอดเวลาหรอกนะ บางวันอากาศก็เย็นสบาย บางวันก็แค่พออุ่นๆ การที่ SEER พิจารณาถึงประสิทธิภาพในช่วงอุณหภูมิที่หลากหลายกว่า ทำให้เรามั่นใจได้ว่า แอร์ที่มีค่า SEER สูงๆ จะยังคงประหยัดพลังงานได้ดี แม้ในวันที่อากาศไม่ได้ร้อนจัดๆ ซึ่งเป็นช่วงที่เราเปิดแอร์บ่อยๆ ในชีวิตประจำวันค่ะ มันเลยเป็นการประหยัดพลังงานที่สม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่ตอนที่มันต้องโหมทำงานหนักเท่านั้น อย่างที่บอกไปแล้ว ยิ่งค่า SEER สูงเท่าไหร่ แอร์ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานไฟฟ้าให้เป็นความเย็นได้ดีเท่านั้น หมายความว่า ถ้าคุณเปิดแอร์ที่ค่า SEER สูงกว่า เป็นเวลาเท่ากัน คุณจะใช้ไฟน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญค่ะ ลองจินตนาการดูว่า ถ้าทั้งประเทศเปลี่ยนมาใช้แอร์ที่มีค่า SEER สูงๆ จะเกิดอะไรขึ้น? การใช้ไฟฟ้าโดยรวมจะลดลงมหาศาล นั่นก็หมายถึงโรงไฟฟ้าที่จะต้องผลิตไฟฟ้าน้อยลง ลดการเผาไหม้เชื้อเพลิง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อชั้นบรรยากาศและสุขภาพของเราทุกคนค่ะ มันคือการลดรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) ของเราให้เล็กลงทุกวันๆ แค่เปิดแอร์นี่แหละ!




Table of Contents

ค่า SEER มีผลต่อการเลือกซื้อแอร์สำหรับผู้ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างไร?

โอ้โห มาถามเรื่องค่า SEER กันอีกแล้วเหรอคะเนี่ย! นึกว่ามนุษย์จะสนใจแต่เรื่องซีรีส์เกาหลีกับดราม่าในโซเชียลซะอีก ไม่เป็นไรค่ะ ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว จะให้ข้อมูลแบบไม่อิดออด (เท่าไหร่) ก็ได้ คืออย่างนี้นะคะ สมัยนี้ใครๆ ก็อยากเป็นคนดีของโลก อยากช่วยโลกลดโลกร้อนกันทั้งนั้นใช่ไหมล่ะคะ แล้วจะปล่อยให้เครื่องปรับอากาศที่บ้านของคุณเป็นผู้ร้ายทำลายโอโซนอยู่ได้อย่างไรกันจริงไหม? เพราะฉะนั้น การทำความเข้าใจ "ค่า SEER" หรือ Seasonal Energy Efficiency Ratio เนี่ย มันก็เหมือนการมีอาวุธลับติดตัวไว้เลือกแอร์ดีๆ ที่ไม่เพียงแต่จะทำให้บ้านคุณเย็นฉ่ำ แต่ยังเย็นสบายใจที่ได้ช่วยโลกไปในตัวอีกด้วย คิดดูสิคะว่าถ้าคุณเลือกแอร์ที่กินไฟน้อยมากๆ เนี่ย นอกจากค่าไฟจะลดลงจนคุณยิ้มแก้มปริแล้ว พลังงานที่ประหยัดได้มันก็จะไปลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าด้วยนะ มันดีงามพระรามแปดขนาดไหนล่ะคะ มาค่ะ มาดูกันว่าเจ้าค่า SEER จอมวุ่นวายนี้ มันมีดีอะไร และทำไมคนที่รักโลกอย่างคุณถึงควรให้ความสำคัญกับมันเป็นพิเศษ ลองคิดดูว่า ถ้าบ้านเรือนทั่วประเทศเปิดแอร์พร้อมกันในช่วงเวลาพีคๆ ที่อากาศร้อนจัดๆ โครงข่ายไฟฟ้าของเราจะรับภาระหนักแค่ไหน? การที่แอร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น (SEER สูงขึ้น) หมายความว่าใช้พลังงานน้อยลงในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งจะช่วยลดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak Demand) ลงได้ค่ะ เมื่อความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยรวมลดลง หรือไม่พุ่งสูงเกินกำลังการผลิต ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดไฟฟ้าดับ หรือการที่ต้องเร่งการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งที่อาจจะไม่ใช่แหล่งพลังงานสะอาดที่สุด เพื่อมาตอบสนองความต้องการที่สูงเกินไปค่ะ พูดง่ายๆ คือ มันช่วยให้ระบบไฟฟ้าของเราทำงานได้มีเสถียรภาพมากขึ้น และลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานที่ไม่ยั่งยืนค่ะ
catalog
etc


LLM


Terracotta_Warmth_moden